วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2555

ทำบุญไหว้พระ เดินเที่ยววัดในกรุงเทพ

 คำเตือน ..สำหรับคนที่แข็งแรงนะคะ ไม่ั้งั้นปวดขาแย่ ถ้าอยากสบายหน่อยก็นั่งรถไหว้พระก้ได้คะ
จุดเริ่มต้น ที่วงเวียนใหญ่
ฉันกับลูกทัวร์ของฉันก็เลยเดินจากจุดเริ่มต้นก็คือวงเวียนใหญ่ไปยังวัดกัลยาณมิตร ซึ่งเป็นจุดหมายแรกของทริป เพราะอยู่ใกล้ที่สุดหละ



ฝนเริ่มตกปรอยๆ ระหว่างเดินจากวงเวียนใหญ่ไปยังจุดหมายแรก ...

หลังจากเราไปไหว้หลวงพ่อโต(ซำปอกง) คนชวนฉันออกมาเถลไถลนอกบ้านก็บอกว่า ไปวัดอื่นกันต่อ

เราเลยไปยังจุดหมายที่สองวัดอรุณราชวราราม

ก็เช่นเดิม เราเดินจากวัดกัลยาณ์ไปวัดอรุณกัน 555

(แล้วฉันก็ลืมพาไปแอบดูยักษ์วัดแจ้ง ซะอย่างนั้น คนไปด้วยเลยอดไป กร๊าก)

... หากลัดเลาะไปตามถนนอรุณอมรินทร์เราจะพบวัดดังได้ถึงสามวัดคือ

วัดกัลยาณมิตร  วัดอรุณราชวราราม และวัดระฆังโฆสิตาราม



หลังจากได้นมัสการพระพุทธธรมมมิศรราชโลกธาุตุดิลกแ้ล้ว ฝนก็เทลงมาอีก แต่ก็ไม่ได้ทำให้ทริปนี้กร่อยลงไป

กลับทำให้ฉันรู้สึกมีชีวิตชีวามากขึ้นด้วยซ้ำ (ชอบฝนตกจัง) แต่คนไปด้วยเป็นคนแพ้ธาตุน้ำ ซวยไป 555+

เราไม่ได้หยุดพักนานเท่าไหร่นัก ฉันเข้าใจเอาเองว่าคนที่ไปด้วยอยากไปหลายๆวัด ฉันกลัวว่าจะไปไม่หมด

เลยค่อนข้างรีบกันไม่ได้หยุดแวะที่ไหนนานๆเลย (ถ้าฉันไปวัดครั้งหน้า จะไปสัก3ที่พอ ไปเอาบรรยากาศวัด ฮึ่ม!)

ฉันและเพื่อนร่วมทริปอีกหนึ่งชีวิตจึงได้เดินลัดเลาะไปตามถนนอรุณอมรินทร์ต่อ เพื่อไปยังวัดระฆังโฆสิตาราม

เพื่อนร่วมทริปของฉัน (อายุอานามก็ไม่ได้เด็กเล้ย อิอิ) รู้สึกตื่นเต้นกับระฆังมาก ถึงกับชวนฉันไปเคาะระฆังด้วย

คงอยากย้อนวัยเสียล่ะมั้ง เพื่อนร่วมทริปบอกว่าฉันเป็นเด็กประหลาดไม่เคาะระฆังอย่างสนุกสนานเหมือนเด็กคนอื่นๆ

คงจะใช่ ... ฉันคิดว่าฉันควรตั้งใจทำความดีจะกว่าเคาะเพื่อความสนุกสนานมากกว่า

ฉันคิดอย่างนี้ตั้งแต่เด็ก ความคิดของฉันเองทำให้ฉันไม่เคยได้เคาะระฆังวัดไหนเลย


หลังจากฉันปล่อยให้เพื่อนร่วมทริปบ้าๆของฉันสนุกสนานกับการเคาะระฆังที่วัดระฆังเป็นเวลาพอสมควรแล้ว

ฉันก็เร่งถามว่าไปไหนต่อ .... เราจึงไปยังท่าน้ำวัดระฆังเพื่อต่อเรือข้ามฟากไปยังท่าช้างกัน (อัตราค่าบริการ 3.50 บาท/คน ค่ะ)

(เพื่อนร่วมทริปผู้แพ้ธาตุน้ำของฉันแอบมองหาห่วงยางชูชีพด้วยล่ะ 55)



หลังจากที่ข้ามฟากมายังท่าช้าง เราก็วางแผนไปยังวัดโพธิ์กันต่อ

(ฉันรู้ว่าชื่อท่าช้าง ใกล้ๆวัดโพธิ์ แต่เพื่อนร่วมทริปของฉันรู้จักแค่ว่ามันเป็นท่าเรือ ฮาได้อีกรอบ)

วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือที่เรียกกันติดปากว่าวัดโพธิ์ ... เป็นจุดหมายที่สี่ของวันนี้


และครั้งนี้ฉันไม่ลืมเดินหายักษ์วัดโพธิ์ให้เพื่อนร่วมทริปดูเป็นขวัญตา

เพื่อนร่วมทริปของฉันตกใจมาก เมื่อเห็นขนาดของยักษ์วัดโพธิ์ที่ฉันชี้ให้ดู (ก่อนจะเจอ เกือบพากันหลง 55)




ฉันยังขำเพื่อนร่วมทริปของฉันไม่หาย เรื่องที่เขาตกใจแค่ไหนเมื่อเจอยักษ์ไซด์น่ารักเข้าไป

ถ้าเจอกันอีก เรื่องนี้ฉันคงเก็บไว้แซวได้อีกนาน กร๊ากกกกกกก



สรุปกันก่อนสักนิดว่าเดินทางมายังไงบ้างแล้ว

วงเวียนใหญ่ --เดิน--> วัดกัลยาณมิตร --เดิน--> วัดอรุณราชวราราม --เดิน--> วัดระฆังโฆสิตาราม


--นั่งเรือ--> ท่าช้าง --เดิน--> วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม



หลังจากฉันพาเพื่อนร่วมทริปเกือบหลงในวัดโพธิ์แล้ว

เพื่อนร่วมทริปของฉันก็เอ่ยถามฉันว่า "จากที่นี่ ไปศาลหลักเมืองหรือวัดพระแก้วใกล้กว่ากัน" ฉันจึงบอกให้ไปศาลหลักเมืองก่อน

เราจึงเดินจากวัดโพธิ์ลุยกันต่อทีศาลหลักเมืองจุดหมายปลายทางที่ห้าของเรา


ฝนก็เริ่มตกมาอีกแล้ว ตกๆหยุดๆ สนุกดี เย็นดีด้วย =)

แล้วก็เดินไปวัดพระแก้วกันต่อ แต่ฉันใส่กางเกงขาสั้นเลยไม่ได้เข้า

คนไปด้วยเค้าอยากเข้า ฉันบอกว่าฉันรอข้างนอกได้ เขาก็ดื้อไม่ยอมเข้า 55  .... เออดี เลยไม่ต้องเข้ากันสักคน ไหว้กันข้างนอกนี่แหละ



หลังจากทั้งฉันและเพื่อนร่วมทริปดื้อกันไปคนละยก ก็เริ่มหิวซะแล้ว

(คนร่วมทริปคงรู้ดี พลัดกัน ทีใครทีมันนะเออ หุหุ)

ด้วยความที่ฉันเป็นเด็กกรุงเทพฯโลกแคบ เลยต้องพึ่งเพื่อนร่วมทริปพาไปฝากท้องที่ไหนสักแห่ง

เพื่อนร่วมทริปจึงพาฉันเดินไปยังธรรมศาสตร์ กินแถวๆนั้นแหละ สั่งข้าวหมูกรอบ1 ข้าวหมูแดงหมูกรอบ1 ได้ข้าวหมูแดงหมูกรอบมา2 ซะอย่างนั้น

แต่ก็ไม่เป้นไร กินได้เหมือนกันเลยไม่ได้เปลี่ยน คนขายก็งงๆ 55+     กินไม่หมดด้วยอิ่มบุญเกินไป 5555

"กินหมูให้หมด"ประโยคนี้ทำฉันเริ่มงง ฉันมากับใครเนี้ย นึกว่ามากับแม่ตัวเอง เง้อ


แล้วก็มีคนพาเดินทัวร์ธรรมศาสตร์ ทั้งๆที่ไม่ใช่เด็กธรรมศาสตร์ ก็ดีแปลกดี ...

เพิ่งเคยมาเหยียบพื้นดินรั้วธรรมศาสตร์ก็ครั้งนี้แหละเป็นครั้งแรก โดยการพาทัวร์ของเด็กเกษตรฯ (ซะงั้น)

เหมือนฉันจะไม่ค่อยได้ดูอะไรเท่าไหร่ด้วย เดินกันเร็วทั้งคู่ แถมยังมีหัวข้อสนทนาสนุกๆอีก(การเมืองไง55) ก็เลยดึงความสนใจไปหมด



หลังจากอิ่มท้องเราก็เดินไปตามถนนพระอาทิตย์

ผ่านสวนสันติไชยปราการ ไปยังวัดชนะสงครามราชวรมหาวิหารฝนหยุดตกพรำแล้วอากาศเย็นกำลังดีเชียว


แล้วเพื่อนรวมทริปก็พาเดินไปทางถนนข้าวสาร เพื่อนร่วมทริปบอกว่าเป็นถนนที่หาป้ายภาษาไทยไม่ได้

แล้วฉันก็เจอป้ายจราจร ... นั่นไงป้ายภาษาไทย  ตามป้ายร้านต่างๆก็มีชื่อภาษาไทยกำกับ

ฉันก็ชี้ให้เพื่อนร่วมทริปดู 555 (เหวอไปเลย)

เราไม่ใช่ส!ิ เพื่อนร่วมทริป ตั้งใจจะไปศาลเจ้าพ่อเสือ ระหว่างที่เดินกันไป ก็ผ่านวัดมรรณพาราม

แวะอีกตามเคย ...

นี่คือประโยชน์ของการเดิน มีที่ให้แวะเยอะแยะเลย =)

แล้วก็ถึงศาลเจ้าพ่อเสือจนได้ (ครั้งแรกของฉันเลย ต้องขอบคุณเพื่อนร่วมทริปที่พามาอีกครั้ง)


ฉันเห็นคนเยอะแยะถือธูปเป็นกำๆ อดสงสัยไม่ได้ว่าเขาไหว้กันยังไง แม้ฉันจะพอมีเชื้อจีนอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้รู้อะไร ที่เป็นประเพณีวัฒนธรรมจีนอยู่เลย

ถามคนทีี่ไปด้วย เขาก็อธิบายให้ฟัง แต่ฉันก็ยังงงๆอยุ่ดี 555+


หลังจากไปหลงอยู่กับกลิ่นควันธูป และมึนไปกับการไหว้แบบจีน

เราก็ไปยังศาลากลางกรุงเทพมหานครกันต่อ ดูเสาชิงช้า .. และแวะไปยังวัดสุทัศน์เทพวราราม


หลังได้สักการะพระศรีศากยมุนีเป็นที่เรียบร้อย ฉันก็พาไปวัดที่ไม่ได้อยู่ในกำหนดการของเพื่อนร่วมทริปต่อ

วัดเทพธิดาราม และวัดราชนัดดาราม ที่วัดเทพธิดารามเป็นวัดที่ท่านสุนทรภู่เคยมาจำพรรษาอยู่ด้วย

ฉันว่าจะพาเพื่อนร่วมทริปไปดูกุฏิสุทรภู่อยู่ ... แต่ฉันจำไม่ได้ว่าอยู่ตรงไหน เพื่อนร่วมทริปเลยแห้วไป

และก็เดินข้ามคลองเล็กๆ ไปยังวัดราชนัดดาราม

 เที่ยวชมโลหะปราสาท (อย่างเหนื่อย-*-) นมัสการพระบรมสารีริกธาตุที่ประดิษฐานอยู่บนยอดด้วย

แม้จะเหนื่อยเพราะต้องเดินขึ้นบันไดเวียนแต่เมื่อได้สัมผัสอากาศเย็นๆที่บนยอดโลหะปราสาท ก็ดูเหมือนความรู้สึกเหนื่อยจะพลันหายไปหมด

(ตอนนั้นนึกว่าอยู่คนเดียว เกือบลืมไปว่ามีคนร่วมทริปมาด้วยอีก1ชีวิตแหนะ55)



ออกจากวัดมายังลานพลับพลาเจษฎาบดินทร์

ก็มีเสียงชักชวนให้ไปภูเขาทอง ... แอบคิดในใจ ยังไม่เหนื่อยเหรอเนี้ย  ฉันก็เลยว่าเอายังไงเอากัน เป็นยังไงเป็นกัน ไปก็ไป

ก็เลยได้ไปพิชิตวัดสระเกศ มาเป็นที่เรียบร้อย ขึ้นไปถึงยอด   สวยจังเหมือนภูเขาจริงๆเลย ลมก็พัดเย็นสบาย มีความสุขที่สุด =)



หลังจากเดินลงมาจากภูเขาทอง ก็รีบมองหาเซเว่นอย่างจริงจัง (เวลาเหนื่อยๆ ทรอปิคานาทวิตเตอร์ช่วยได้เยอะนะ)

ถือเป็นการจบทริปทัวร์วัดด้วยการเดินสุดโหดเป็นที่เรียบร้อย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น